เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเป็นช่วงที่ต้นมะพร้าวต้องการธาตุอาหารและน้ำเป็นพิเศษ เพื่อให้ดอกสมบูรณ์และพัฒนาเป็นผลได้เต็มที่ หากดูแลไม่ดีอาจทำให้ดอกร่วง หรือผลลีบได้
นี่คือสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อส่งเสริมการติดผลของมะพร้าว:
1.
การให้น้ำอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ
* ความสำคัญ: น้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในช่วงออกดอกและติดผล หากขาดน้ำ ดอกและผลอ่อนอาจร่วงได้ มะพร้าวต้องการน้ำมากเพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสงและลำเลียงธาตุอาหาร
* วิธีปฏิบัติ:
* รดน้ำให้ดินชุ่มชื้น อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ควรให้น้ำทุกวัน หรือวันเว้นวัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและความชื้นในดิน
* หลีกเลี่ยงการปล่อยให้ดินแห้งสนิทเป็นเวลานาน เพราะจะส่งผลเสียต่อการติดผลอย่างมาก
* การทำ คูระบายน้ำ หรือ การขังน้ำในท้องร่อง (สำหรับพื้นที่ที่ทำได้) จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดินได้ดี
2. การให้ปุ๋ยบำรุงที่เหมาะสม
* ความสำคัญ: การให้ธาตุอาหารที่ครบถ้วนและสมดุลจะช่วยให้มะพร้าวมีพลังงานเพียงพอสำหรับการออกดอกและพัฒนาผล โดยเฉพาะ โพแทสเซียม (K) เป็นธาตุอาหารที่สำคัญที่สุดในช่วงนี้ เพราะช่วยในการสร้างเนื้อและน้ำมะพร้าว ทำให้ผลใหญ่มีคุณภาพ และเพิ่มความสามารถในการต้านทานโรค
* ชนิดปุ๋ยที่แนะนำ:
* ปุ๋ยเคมีสูตรที่มีโพแทสเซียมสูง: เช่น สูตร 13-13-21 หรือ 12-12-17-2 หรือสูตรที่เน้นโพแทสเซียมอื่นๆ ควรใส่ในปริมาณ 3-5 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี โดยแบ่งใส่หลายครั้ง (เช่น ทุก 3-4 เดือน)
* ปุ๋ยอินทรีย์: ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน เพิ่มธาตุอาหาร และรักษาความชื้น ควรใส่ประมาณ 30-50 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี
* เกลือแกง: มีประโยชน์ต่อมะพร้าวเพราะมะพร้าวเป็นพืชที่ชอบโซเดียม การโรยเกลือแกงรอบโคนต้นประมาณ 1-1.5 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี สามารถช่วยเพิ่มความดกของผลและทำให้เนื้อหนาขึ้นได้
* ปุ๋ยทางใบ: อาจพิจารณาใช้ปุ๋ยทางใบที่มีธาตุอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะธาตุอาหารรองและจุลธาตุ เช่น แคลเซียม โบรอน ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาของดอกและผล
3. การจัดการวัชพืชและพืชคลุมดิน
* ความสำคัญ: วัชพืชจะแย่งน้ำและธาตุอาหารจากต้นมะพร้าว
* วิธีปฏิบัติ:
* กำจัดวัชพืช รอบโคนต้นอย่างสม่ำเสมอ
* ปลูกพืชคลุมดิน: พืชตระกูลถั่ว เช่น เพอราเรีย, เซ็นโตรซีมา, คาโลโปโกเนียม จะช่วยควบคุมวัชพืช รักษาความชื้นในดิน และเพิ่มไนโตรเจนในดินได้
* ความสำคัญ: น้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในช่วงออกดอกและติดผล หากขาดน้ำ ดอกและผลอ่อนอาจร่วงได้ มะพร้าวต้องการน้ำมากเพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสงและลำเลียงธาตุอาหาร
* วิธีปฏิบัติ:
* รดน้ำให้ดินชุ่มชื้น อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ควรให้น้ำทุกวัน หรือวันเว้นวัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและความชื้นในดิน
* หลีกเลี่ยงการปล่อยให้ดินแห้งสนิทเป็นเวลานาน เพราะจะส่งผลเสียต่อการติดผลอย่างมาก
* การทำ คูระบายน้ำ หรือ การขังน้ำในท้องร่อง (สำหรับพื้นที่ที่ทำได้) จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดินได้ดี
2. การให้ปุ๋ยบำรุงที่เหมาะสม
* ความสำคัญ: การให้ธาตุอาหารที่ครบถ้วนและสมดุลจะช่วยให้มะพร้าวมีพลังงานเพียงพอสำหรับการออกดอกและพัฒนาผล โดยเฉพาะ โพแทสเซียม (K) เป็นธาตุอาหารที่สำคัญที่สุดในช่วงนี้ เพราะช่วยในการสร้างเนื้อและน้ำมะพร้าว ทำให้ผลใหญ่มีคุณภาพ และเพิ่มความสามารถในการต้านทานโรค
* ชนิดปุ๋ยที่แนะนำ:
* ปุ๋ยเคมีสูตรที่มีโพแทสเซียมสูง: เช่น สูตร 13-13-21 หรือ 12-12-17-2 หรือสูตรที่เน้นโพแทสเซียมอื่นๆ ควรใส่ในปริมาณ 3-5 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี โดยแบ่งใส่หลายครั้ง (เช่น ทุก 3-4 เดือน)
* ปุ๋ยอินทรีย์: ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน เพิ่มธาตุอาหาร และรักษาความชื้น ควรใส่ประมาณ 30-50 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี
* เกลือแกง: มีประโยชน์ต่อมะพร้าวเพราะมะพร้าวเป็นพืชที่ชอบโซเดียม การโรยเกลือแกงรอบโคนต้นประมาณ 1-1.5 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี สามารถช่วยเพิ่มความดกของผลและทำให้เนื้อหนาขึ้นได้
* ปุ๋ยทางใบ: อาจพิจารณาใช้ปุ๋ยทางใบที่มีธาตุอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะธาตุอาหารรองและจุลธาตุ เช่น แคลเซียม โบรอน ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาของดอกและผล
3. การจัดการวัชพืชและพืชคลุมดิน
* ความสำคัญ: วัชพืชจะแย่งน้ำและธาตุอาหารจากต้นมะพร้าว
* วิธีปฏิบัติ:
* กำจัดวัชพืช รอบโคนต้นอย่างสม่ำเสมอ
* ปลูกพืชคลุมดิน: พืชตระกูลถั่ว เช่น เพอราเรีย, เซ็นโตรซีมา, คาโลโปโกเนียม จะช่วยควบคุมวัชพืช รักษาความชื้นในดิน และเพิ่มไนโตรเจนในดินได้